7. ตัวอย่างเว็บไซต์ที่เข้าข่ายต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. มีระบบการสั่งซื้อ เช่น ระบบกรอกฟอร์ม ระบบตะกร้า e-mail หรืออื่น ๆ
2. มีระบบการชำระเงิน ออฟไลน์ หรือ ออนไลน์ เช่น การโอนเงินผ่านระบบบัญชี การชำระด้วยบัตรเครดิต หรือ e-cash เป็นต้น
3. มีระบบสมัครสมาชิก เพื่อรับบริการข้อมูลหรืออื่น ๆ โดยมีการคิดค่าใช้จ่าย (ถือเป็นการขายบริการ)
4. มีวัตถุที่ประสงค์หลักในการรับจ้างโฆษณาสินค้าหรือบริการของผู้อื่น และมีรายได้จากการโฆษณานั้น
5. รับจ้างออกแบบเว็บไซต์ หรือเพียงโฆษณาว่าเป็นผู้รับจ้างออกแบบเว็บไซต์ (ถือว่าการออกแบบเว็บไซต์นั้นมีช่องทางการค้าปกติบนอินเทอร์เน็ต)
6. เว็บไซต์ให้บริการเกมส์ออนไลน์ที่คิดค่าบริการจากผู้เล่น (เจ้าของเว็บไซต์ต้องจดทะเบียน)
7. เว็บไซต์ที่มีการส่งมอบสินค้าหรือบริการผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น การ Download เพลงโปรแกรม เกมส์ Ringtone Screensaver SMS เป็นต้น
8. ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. มีเฉพาะหน้าร้านโชว์สินค้าของตนเอง แต่ทำการค้าในช่องทางปกติ (ไม่ใช่อินเทอร์เน็ต) แม้จะมีข้อความแจ้งว่าให้ติดต่อได้ เช่น สนใจโทร.ติดต่อ… หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ….
2. การโฆษณาสินค้าของตนเอง โดยลักษณะของการโฆษณานั้นไม่ใช่วัตถุที่ประสงค์หลักของกิจการและไม่ใช่ช่องทางค้าปกติ แม้จะมี banner ของผู้อื่นมาติดและมีรายได้จาก banner ก็ตาม
3. การประชาสัมพันธ์หรือเผยแพร่ข้อมูลแก่สมาชิกหรือบุคคลทั่วไป โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือบริการ เช่น เพื่อการสอน ประกาศรับสมัครงาน
4. การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท หรือสินค้า
5. เว็บไซต์ส่วนตัว (ส่วนบุคคล) ที่สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว การงาน การศึกษา หรือความสนใจส่วนตัว
6. เว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางด้านข้อมูล โดยมีจุดประสงค์ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยไม่มีการเสียค่าสมาชิกหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ
9. คำอธิบายเพิ่มเติม
บริการอินเทอร์เน็ต (ISP : Internet Service Provider)
ก. กรณีนี้ ไม่ได้หมายความถึง ร้านบริการอินเทอร์เน็ต หรือ ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับให้บริการในการเล่นอินเทอร์เน็ตหรือเกมส์คอมพิวเตอร์ ประเภทนี้ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ให้จดทะเบียนพาณิชย์ (แบบธรรมดา)
ข. บริการอินเทอร์เน็ต ในที่นี้หมายถึง ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต คือ หน่วยงานที่บริการในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต กล่าวคือ ให้บริการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานต่าง ๆ เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ทำให้เราสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งโดยปกติในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เราจะต้องมีการเชื่อมต่อสัญญาณกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตก่อน โดยเชื่อมต่อผ่านโมเด็ม(สายโทรศัพท์) หรือ เชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์ (สายเคเบิล หรือ DSL)
ให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Web Hosting) คือ ผู้ให้บริการเว็บเซิร์ฟเวอร์ เพื่อทำหน้าที่ในการรับฝากเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์ต่าง ๆ สามารถออนไลน์ หรือมองเห็นบนอินเทอร์เน็ตได้ทุกเว็บไซต์ที่ออนไลน์บนอินเทอร์เน็ตจะต้องได้รับการฝาก หรือเก็บไว้บนคอมพิวเตอร์พิเศษที่เรียกว่า เครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ซึ่งเซิร์ฟเวอร์นี้จะทำหน้าที่เป็นตัวติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกแห่งทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง (ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต)
ดังนั้น ในการทำเว็บไซต์ เพื่อให้ออนไลน์บนอินเทอร์เน็ตได้ สิ่งแรกที่ต้องมีคือ เครื่องเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งมีราคาและค่าใช้จ่ายในการดูแล ค่อนข้างสูง ซึ่งหากเป็นหน่วยงานหรือองค์กรใหญ่ ๆ มักจะมีเครื่อง Server เป็นของตนเอง แต่ผู้ประกอบการรายย่อยหรือบุคคลทั่วไป มักจะนำเว็บไซต์ของตนไปฝากไว้กับเครื่อง Serverของผู้อื่น ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยผู้ให้บริการเครื่อง Server จะคิดค่าใช้จ่ายตามพื้นที่ (ขนาดของเว็บไซต์) ที่แบ่งให้เช่า
สรุป ให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย หรือ เว็บโฮสติ้ง ก็คือ ผู้ให้บริการในการเช่าพื้นที่ของเครื่อง Server นั่นเอง
บริการเป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ( หรือ e-Marketplace) คือ เว็บไซต์ที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมสินค้าและร้านค้าเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นสื่อกลางในการซื้อ-ขายสินค้าระหว่างกันโดยรูปแบบของ E-Marketplace จะเป็นการบริการในรูปแบบของเว็บไซต์ ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าไป post ซื้อขายสินค้า หรือ ให้บริการหน้าเว็บไซต์สำเร็จรูป เพื่อให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ เข้ามาเปิดหน้าร้านออนไลน์บนเว็บไซต์ตลาดกลาง เพื่อขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ |